ทั่วไทย – กมธ.ปปง.ฯ เรียก ก.ล.ต.- ดีเอสไอ ชี้แจงปม บมจ.บัวหลวง ลงทุนหุ้น STARK ผิดกฏหมายหรือไม่

กมธ.ปปง.ฯ เรียก ก.ล.ต.- ดีเอสไอ ชี้แจงปม บมจ.บัวหลวง ลงทุนหุ้น STARK ผิดกฏหมายหรือไม่


เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2568 ที่ จ.เลย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ประธานคณะ กมธ.การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด ส.ส.เลย เขต 1 พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เมื่อครั้งการประชุม คณะกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด ครั้งที่ 44 ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ อาคารรัฐสภา(เกียกกาย) เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา ได้พิจารณาเรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณี บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง จำกัด (บมจ.บัวหลวง) มีพฤติการณ์ลงทุนหุ้น STARK ผิดกฎหมาย และขอให้ชดใช้ความเสียหายแก่ผู้ลงทุนผ่านกองทุนรวม B – LTF

นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากผู้ร้องเรียนมีหนังสือร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด คณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขาธิการคณะกรรมาการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์จัดการ กองทุนรวม บัวหลวง จำกัด และผู้เสียหาย เข้าร่วมประชุม โดยผู้แทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้ข้อมูลต่อที่ประชุม สรุปได้ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องจากผู้ร้องเรียน ในวันที่ 29 มีนาคม 2567 โดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อกล่าวหาที่ผู้ร้องเรียนมาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ นั้น เป็นความผิดตาม มาตรา 124/1 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งไม่ได้บัญญัติในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามหน้าที่และอำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมสอบสวน คดีพิเศษเห็นว่า แม้กรณีดังกล่าวไม่อยู่ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕ แต่เมื่อผู้ร้องได้ทำการร้องทุกข์แล้ว และกรณีดังกล่าวเกี่ยวพันกับคดีหุ้น STARK เพื่อความเป็นธรรมก็เห็นควรใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งให้กองคดีการเงิน การธนาคาร และการฟอกเงิน ทำการสืบสวนสอบสวนในประเด็นดังกล่าว โดยเริ่มสืบสวนตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงเดือนตุลาคม เริ่มดำเนินการเรียกผู้เสียหาย ผู้จัดการกองทุน อดีตผู้จัดการกองทุน และนักวิเคราะห์กองทุนของบลจ.บัวหลวง มาให้ปากคำ รวมทั้งสิ้น 6 คน กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่พบความผิดปกติในการลงทุนในหุ้น STARK ของบลจ.บัวหลวง นอกจากนี้พนักงานสืบสวนสอบสวนได้ตรวจสอบ ผู้จัดการกองทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องว่ามีผลประโยชน์กับบริษัท สตาร์ค ฯ หรือไม่ โดยดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ผลการตรวจสอบไม่พบความผิดปกติ และได้สรุปเรื่องว่า กรณีดังกล่าวไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และไม่พบความผิดปกติที่แสดงว่าบลจ.บัวหลวงได้กระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยัง ก.ล.ต. ต่อไป

“ขณะที่ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ข้อมูลต่อที่ประชุมว่า ผู้ร้องเรียนมีข้อร้องเรียนมายัง ก.ล.ต. คือ ต้องการให้ ก.ล.ต. เข้าไปตรวจสอบว่าบลจ.บัวหลวงกระทำการไม่เป็นไปตามมาตรา 124/1 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หรือไม่ อย่างไร โดยสามารถสรุประยะเวลา ดังนี้ ในวันที่ 7 ตุลาคม 2565 บริษัท สตาร์ค ฯ ขายหุ้นเพิ่มทุนจัดสรรให้กับบุคคลในวงจำกัด จำนวน 320 ล้านหุ้น มูลค่า 1,190 ล้านบาท ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 ตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย SP (ห้ามซื้อขายหุ้นชั่วคราว) หุ้น STARK เนื่องจากไม่ส่งงบการเงิน งวด 31 ธันวาคม 2565 ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 ตัวแทนผู้ร้องเรียน (6 ราย) ยื่นหนังสือให้สำนักงาน ก.ล.ต. ให้ตรวจสอบบลจ.บัวหลวงในฐานความผิดตามมาตรา 124/1 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 กรณีบลจ.บัวหลวงไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนโดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน และกระทำการโดยทุจริต เมื่อ ก.ล.ต. ได้รับเรื่องแล้วก็ได้ดำเนินการตรวจสอบ โดยเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่า ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชี้ว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการโดยไม่ซื่อสัตย์ สุจริต หรือมีการทุจริตก่อให้เกิดความเสียหาย โดยสรุปผลการตรวจสอบ ดังนี้ 1. กรณีบลจ.บัวหลวง กระทำการโดยทุจริต มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียประโยชน์อันพึงได้รับ รวมถึงมีพฤติกรรมซื้อขายหุ้นที่ไม่โปร่งใส ผลการตรวจสอบปรากฏว่าไม่มีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า บลจ.บัวหลวง มีพฤติกรรมตามที่ระบุข้างต้น ทั้งนี้ หากสำนักงาน ก.ล.ต. พบว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย สำนักงาน ก.ล.ต. จะพิจารณาดำเนินการและเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวทาง website ต่อไป 2. กรณีบลจ.บัวหลวงมีพฤติการณ์ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จกับผู้ลงทุน (บน website บลจ.บัวหลวง) เกี่ยวกับกองทุนของบลจ.บัวหลวงถือครองหุ้น STARK โดยระบุว่ามีเพียงจำนวน 290 ล้านหุ้น ทั้งที่จากข้อมูลที่ บลจ.บัวหลวงรายงานต่อสำนักงาน ก.ล.ต. แสดงการถือครอง จำนวน 916 ล้านหุ้น ผลการตรวจสอบปรากฏว่าตัวเลข 290 ดังกล่าวมิใช่จำนวนหุ้น STARK ที่กองทุนทั้ง 4 กองถือครองอยู่ แต่เป็นจำนวนหลักทรัพย์ (บลจ.บัวหลวง) ที่แต่ละกองทุนมีการกระจายการลงทุน ข้อมูลสัดส่วนการลงทุนในหุ้น STARK ของกองทุนทั้ง 4 กอง อยู่ที่ร้อยละ 0.4 ถึง 0.6 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 31 พ.ค. 2566 ทั้งนี้ บลจ.บัวหลวงมีการลงทุนในหุ้น STARK ร้อยละ 1 ถึง 2 และในวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 สำนักงาน ก.ล.ต. มีหนังสือแจ้งผลแก่ผู้ร้องเรียน”

นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนผู้แทนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แจ้งว่า
กรณี บลจ.บัวหลวง มีประเด็นการพิจารณา ดังนี้ 1. บลจ.บัวหลวงเป็นผู้กระทำความผิดมูลฐาน หรือมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานหรือไม่อย่างไร ตามข้อมูลที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ก.ล.ต. รายงานมายัง ปปง. ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่าไม่ปรากฏว่าผู้บริหาร บลจ.บัวหลวง มีเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหากรณีหุ้น STARK แต่อย่างใด ดังนั้น ปปง.จึงไม่มีการตรวจสอบ กลุ่มผู้บริหาร บลจ.บัวหลวง 2.เมื่อได้ยึดทรัพย์สินผู้กระทำความผิดมูลฐานและผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กรณีหุ้น STARK ปปง. ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ผู้เสียหายมายื่นคำร้องเพื่อขอชดใช้ซึ่งทรัพย์สินคืนจากผู้กระทำความผิดมูลฐาน ปรากฏว่าบลจ.บัวหลวง ได้ยื่นคำร้องเข้ามาว่าเป็นผู้เสียหายจากกรณีหุ้น STARK จำนวนมูลค่าความเสียหาย 1,037 ล้านบาท ทั้งนี้ ปปง. ได้เสนอคณะกรรมการธุรกรรม วันที่ 16 ธันวาคม 2567 โดยสรุปได้ว่าบลจ.บัวหลวงเป็นผู้เสียหายที่มีสิทธิได้รับการชำระ เมื่อศาลสั่งให้ชดใช้คืน ยอด 1,037 ล้านบาท ทั้งนี้ หาก ก.ล.ต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษพบการกระทำความผิดมูลฐานสามารถรายงานพฤติการณ์มายัง ปปง. เพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป

“ส่วนกรณีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (บลจ.บัวหลวง) ให้ข้อมูลต่อที่ประชุมว่าบลจ.บัวหลวง มีกระบวนการลงทุนที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ แนวปฏิบัติ และมาตรฐานของอุตสาหกรรม บลจ.บัวหลวงมีคณะกรรมการลงทุน ซึ่งมีหลักการลงทุนแสวงหาผลตอบแทนในระยะยาว โดยนอกจากวิเคราะห์ถึงโอกาสในการลงทุน ยังได้มีการกระจายการลงทุน และบริหารความเสี่ยงโดยไม่ให้การลงทุนกระจุกในกลุ่มอุตสาหกรรมใด หรือหลักทรัพย์ตัวใดมากเกินไปการลงทุนในหุ้นบริษัท STARK บลจ.บัวหลวง ได้ทำการวิเคราะห์และเริ่มลงทุนหุ้น STARK ให้กองทุนภายใต้การจัดการมาตั้งแต่ปี 2563 โดยมองว่าผลประกอบการตามที่ปรากฏในงบการเงินของกิจการที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากผู้สอบบัญชีเป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่องเมื่อ STARK ประกาศยกเลิกธุรกรรมการซื้อกิจการ LEONI กองทุนก็ได้ทยอยขายหุ้น STARK เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน โดยฝ่ายจัดการกองทุนได้มีการติดตามข้อมูลของบริษัท สตาร์ค ฯ อย่างต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์ของ บลจ.บัวหลวง ได้เข้าชมโรงงงานเพื่อประเมินความสามารถในการดำเนินกิจการ โดยบลจ.บัวหลวงได้พิจารณาถึงข้อมูล และประเมินในเบื้องต้นว่าบริษัท STARK ยังคงสามารถดำเนินกิจการได้ จึงไม่ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด โดยการใช้ดุลพินิจมิได้มีการกระทำทุจริต หรือผิดต่อจรรยาบรรณวิชาชีพ บลจ.บัวหลวง ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูล และปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ได้รับการรับรองจากบุคคลที่สาม ครบถ้วนเป็นไปตามหลักการและกระบวนการลงทุน การลงทุนของ บลจ.บัวหลวง เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์จำนวนปริมาณสูงจนทำให้บลจ.บัวหลวงมีสัดส่วนการถือครองเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของหลักทรัพย์นั้น ๆ ผู้จัดการกองทุนจำเป็นต้องพิจารณาลงทุนในปริมาณและสัดส่วนที่ส่งผลต่อความคุ้มค่าในการบริหารโดยรวมของกองทุนภายใต้การจัดการ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ของกองทุน พบว่าสัดส่วนหุ้นแต่ละตัวอยู่ในปริมาณที่ไม่สูง ทังนี้ ผู้บริหารมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ และบลจ.บัวหลวงได้ดำเนินกิจการ เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535

นายเลิศศักดิ์ กล่าวโดยสรุปว่า ที่ประชุมได้รับฟังหน่วยงานกำกับและบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จากผู้แทนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด และผู้เสียหายให้ข้อเท็จจริง ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ พร้อมทั้ง ตอบข้อซักถามของคณะกรรมาธิการ อย่างไรก็ตามที่ประชุมคณะกรรมาธิการยังไม่มีข้อสรุปในกรณีดังกล่าว ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมาธิการครั้งต่อไป (ครั้งที่ ๔๕) คณะกรรมาธิการมีมติให้เชิญ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มาให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นการพิจารณา เพื่อหาข้อสรุป และดำเนินการต่อไปตามแนวทางที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการ